แลนด์บริดจ์ (ชุมพร-ระนอง)1,001,206.47 ล้านบาท แผน เปิดบริการในเดือน ต.ค. 2573
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566 มีมติรับทราบหลักการโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) ในการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์เพื่อนำมาประกอบในการจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) ในลำดับต่อไป
โครงการแลนด์บริดจ์ (ชุมพร-ระนอง) ประมาณการวงเงินลงทุนโครงการทั้งหมด 1,001,206.47 ล้านบาท ประกอบด้วย 4 เนื้องาน ประกอบด้วย
1. ท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ที่แหลมอ่าวอ่าง อำเภอราชกรูด จังหวัดระนอง ออกแบบให้สามารถรองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 21 เมตร
2. ท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย ที่แหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร รองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 17 เมตร
3. เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้งสองฝั่งมีระยะทางประมาณ 90 กม. ประกอบด้วย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ขนาด 6 ช่องจราจร โดยเป็นอุโมงค์ 3 แห่ง ระยะทางอุโมงค์ประมาณ 21 กม., ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร (Standard Gauge) จำนวน 2 ทาง โดยเป็นอุโมงค์ 3 แห่ง ระยะทางอุโมงค์ประมาณ 21 กม. ออกแบบเพื่อรองรับการขนส่งตู้สินค้า 2 ชั้นบนแคร่ (Double Stack), ทางรถไฟขนาดราง 1.0 เมตร (Meter Gauge) จำนวน 2 ทาง โดยเป็นอุโมงค์ 3 แห่ง ระยะทางอุโมงค์ประมาณ 21 กม. เพื่อเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายทางรางหลักของประเทศ และพื้นที่สำหรับวางท่อขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนการขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทางท่อในพื้นที่ของโครงการ
และ 4. การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่าโดยการถมทะเลเพื่อพัฒนากิจการสนับสนุนท่าเรือ
รัฐจัดหาที่ดิน-เอกชนลงทุน PPP สัมปทาน 50 ปี
โดยมีรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมคือ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership หรือ PPP) ซึ่งเป็นการให้สิทธิแก่เอกชนลงทุนในการก่อสร้างและการบริหารจัดการเป็นระยะเวลา 50 ปี โดยกำหนดให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนโครงการทั้งโครงการ ประกอบด้วย ท่าเรือ ทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร และมอเตอร์เวย์ รวมถึงการพัฒนาพื้นที่หลังท่า โดยภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเวนคืนที่ดิน ลงทุนทางรถไฟขนาด 1.0 เมตร และกำหนดสิทธิประโยชน์ให้เอกชนผู้ร่วมลงทุนในโครงการ โดยแบ่งการลงทุนเป็นระยะ ดังนี้
การลงทุนท่าเรือฝั่งระนอง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าจำนวน 6 ล้าน TEUs ในปี พ.ศ. 2573, ระยะที่ 2 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 12 ล้าน TEUs ในปี พ.ศ. 2577 และระยะที่ 3 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 8 ล้าน TEUs รวมเป็น 20 ล้าน TEUs ในปี พ.ศ. 2579
การลงทุนท่าเรือฝั่งชุมพร แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าจำนวน 4 ล้าน TEUs ในปี พ.ศ. 2573, ระยะที่ 2 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 4 ล้าน TEUs รวมเป็น 8 ล้าน TEUs ในปี พ.ศ. 2577, ระยะที่ 3 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 14 ล้าน TEUs ในปี พ.ศ. 2579 และระยะที่ 4 พัฒนาให้สามารถรองรับปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้น 6 ล้าน TEUs รวมเป็น 20 ล้าน TEUs ในปี พ.ศ. 2582
แผนงาน-วงเงินลงทุน 4 ระยะ ลุยเฟสแรก 5.22 แสนล้านก่อน
โดยวางกรอบระยะเวลาการพัฒนา 4 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ประมาณการลงทุนโครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 522,844.08 ล้านบาท ประกอบด้วย
งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร จำนวน 118,519.50 ล้านบาท, งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง จำนวน 141,716.02 ล้านบาท, งานก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ จำนวน195,504.00 ล้านบาท, งานก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า จำนวน 60,892.56 ล้านบาท และค่าเวนคืนและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน 6,212.00 ล้านบาท
ระยะที่ 2 ประมาณการลงทุนโครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 164,671.83 ล้านบาท ประกอบด้วย
งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร จำนวน 45,644.75 ล้านบาท, งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง จำนวน 73,164.78 ล้านบาท, งานก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ จำนวน21,910.00 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า จำนวน 23,952.30 ล้านบาท
ระยะที่ 3 ประมาณการลงทุนโครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 228,512.79 ล้านบาท ประกอบด้วย
งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร จำนวน 73,221.99 ล้านบาท, งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งระนอง จำนวน 115,929.76 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจำนวน 39,361.04 ล้านบาท
และระยะที่ 4 ประมาณการลงทุนโครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 85,177.77 ล้านบาท ประกอบด้วย
งานก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งชุมพร จำนวน 68,280.20 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า จำนวน 16,897.57 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าโครงการจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ดังนี้ มูลค่าปัจจุบัน (NPV) 257,453 ล้านบาท, อัตราผลประโยชน์ต่อทุน (B/C Ratio) เท่ากับ 1.35, อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) 17.43%, ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจทางตรง 9.52%, อัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 8.62%, มีระยะเวลาคืนทุนปีที่ 24 และจะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่จำนวน 280,000 ตำแหน่ง โดยแบ่งเป็นจังหวัดระนอง จำนวน 130,000 ตำแหน่ง จังหวัดชุมพร 150,000 ตำแหน่ง รวมทั้งเป็นส่วนช่วยทำให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 4.0% ต่อปี เป็น 5.5% ต่อปี
ทำรายงานสิ่งแวดล้อม 3 ฉบับ คู่ขนาน
นอกจากนี้ โครงการจะต้องดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วย การจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE) รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม Environmental Impact Assessment (EIA) และรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการ กิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง (Environmental and Health Impact Assessment : EHIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
ขณะที่ตำแหน่งที่ตั้งของท่าเรือฝั่งอันดามันในจังหวัดระนองปัจจุบันได้กำหนดตำแหน่งที่แหลมอ่าวอ่าง อำเภอราชกรูด จังหวัดระนอง ซึ่งอยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนองและอุทยานแห่งชาติแหลมสน โดยพื้นที่ของโครงการแลนด์บริดจ์ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่ ทส.อยู่ระหว่างการเสนอขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกทางธรรมชาติพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันเป็นแหล่งมรดกโลกเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก แต่อยู่ในเขตที่กำหนดเป็นพื้นที่เขตแนวกันชน (Buffer Zone) ซึ่งอยู่ในระยะ 3 กิโลเมตร จากพื้นที่ที่เสนอขึ้นทะเบียน ซึ่งจะต้องมีการหารือระหว่างกระทรวงคมนาคม กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป
อย่างไรก็ตาม การผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์จะต้องดำเนินการพัฒนาด้านกฎหมาย เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมาย กฎระเบียบที่จะส่งเสริมการดำเนินการในรูปแบบการพัฒนาโครงการตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นเพื่อจูงใจนักลงทุนและส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ที่เป็นรูปธรรม จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการพัฒนาด้านกฎหมาย ประกอบด้วย การจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC), จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ และจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ในการขับเคลื่อนนโยบายและผลักดันให้เกิดการพัฒนาเมืองและพัฒนาอุตสาหกรรม
ไลน์โรดโชว์ปี 66-67 ประมูลปี 68 ก่อสร้าง 5 ปี
ตามเอกสารระบุต่อไปถึงแผนการดำเนินโครงการ หลังจาก ครม.รับทราบและให้ผลักดันโครงการแล้ว ช่วงเดือน พ.ย. 2566-ม.ค. 2567 กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการรับฟังความเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) จากนั้นทั้งปี 2567 จะดำเนินการจัดทำกฎหมาย พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) และจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและสำนักงานนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC)
ประมาณเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2568 จะเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน เมษายน-มิถุนายน 2568 ก่อนที่จะดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เวนคืนที่ดิน และจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างเดือน ม.ค. 2568-ธ.ค. 2569 และเสนอ ครม.อนุมัติลงนามในสัญญาได้ในเดือนก.ค.-ส.ค. 2568 ก่อนที่จะดำเนินการก่อสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ในเดือน ก.ย. 2568-ก.ย. 2573 เปิดให้บริการในเดือน ต.ค. 2573
ขอบคุณข้อมูล ผู้จัดการออนนไลน์
**************************************
ข้อมูลประกอบ ลองถาม map google แนวเส้นทางรถยนต์ที่มีอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรี โรดโชว์ แลนด์บริดจ์ ก่อนการรับฟังความเห็นของชุมชนเสร็จสิ้น
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ครั้งที่ 30 และในช่วงระหว่างการประชุมดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้จัดโรดโชว์โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของไทย ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน เป็นการลดระยะทางและระยะเวลาในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารจากภาคใต้ของไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีได้ระบุถึงผลประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับจากการเข้ามาลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ดังนี้
- โอกาสในการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
- โอกาสในการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- โอกาสในการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการลงทุนจากรัฐบาลไทย
นายกรัฐมนตรีคาดว่า โครงการแลนด์บริดจ์จะมีมูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท และจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในปี 2573
โรดโชว์ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยมีนักลงทุนจากหลายประเทศเข้ารับฟังการนำเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ และแสดงความประสงค์ที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการนี้
อย่างไรก็ตาม โครงการแลนด์บริดจ์ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญอยู่หลายประการ ประการแรกคือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียดและรอบด้าน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่
ประการที่สองคือ การลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งรัฐบาลจะต้องเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณและการบริหารจัดการโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สามคือ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะต้องประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์อย่างเป็นรูปธรรม
การก่อสร้างแลนด์บริดจ์ ผลกระทบต่อชุมชน จ.ระนอง และ จ.ชุมพร
การก่อสร้างแลนด์บริดจ์เชื่อมระหว่างจังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง จะเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นสะพานข้ามทะเลความยาว 89 กิโลเมตร ประกอบด้วยเส้นทางคมนาคมขนส่งผสมผสานทั้งมอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ และท่อขนส่งน้ำมัน โครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี และเริ่มเปิดให้บริการได้ในปี 2573
โครงการแลนด์บริดจ์มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน เป็นการลดระยะทางและระยะเวลาในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารจากภาคใต้ของไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
การก่อสร้างแลนด์บริดจ์ก็มีผลกระทบต่อชุมชนในพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง ดังนี้
- ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่เกษตรกรรม สวนทุเรียน สวนปาล์ม สวนยางพาราง และพื้นที่ชายฝั่งทะเล การก่อสร้างแลนด์บริดจ์จะต้องมีการถมทะเลเพื่อขยายพื้นที่สำหรับสร้างท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล เช่น แนวปะการัง ป่าชายเลน และสัตว์ทะเล รวมทั้งปัญหาตะกอนจากการถมทะเล และ การขุดร่องน้ำ ซึ่งกระทบต่อวิถีทำการประมงพื้นบ้านของชุมชนโดยตรง การก่อสร้างแลนด์บริดจ์จะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวน เพราะมีท่าเรือโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่
- ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การก่อสร้างแลนด์บริดจ์จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานในพื้นที่เดิม แรงงานในพื้นที่อาจต้องเปลี่ยนอาชีพหรือย้ายถิ่นฐานออกไป ขณะเดียวกัน การก่อสร้างแลนด์บริดจ์ก็อาจก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
- ผลกระทบด้านสังคม การก่อสร้างแลนด์บริดจ์จะต้องมีการเวนคืนที่ดินของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่อาจต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่ใหม่ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียรากเหง้าและความเป็นชุมชน
จากผลกระทบข้างต้น จะเห็นได้ว่าการก่อสร้างแลนด์บริดจ์มีผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบต่อชุมชนในพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรมีมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงประโยชน์ของชุมชนในพื้นที่เป็นสำคัญ
มาตรการรองรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- จัดทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างละเอียดและรอบด้าน ก่อนดำเนินการก่อสร้าง หรือหาแหล่งเงินทุน ธุรกิจที่เข้าร่วม ฯ
- กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ
- ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำและติดตามผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
มาตรการรองรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เช่น
- จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่อย่างครอบคลุมและยั่งยืน
- ส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีทักษะและความรู้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพใหม่
- พัฒนาแหล่งงานและอาชีพทางเลือกในพื้นที่
มาตรการรองรับผลกระทบด้านสังคม เช่น
- จ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม
- ช่วยเหลือประชาชนในการอพยพย้ายถิ่นฐาน
- ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มและสร้างชุมชนใหม่
การจัดทำมาตรการรองรับผลกระทบอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ชุมชนในพื้นที่จังหวัดชุมพรและจังหวัดระนอง สามารถปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการแลนด์บริดจ์ได้อย่างคุ้มค่า